ชุดฝึกเพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ได้ออกแบบขึ้นเพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานของนักเรียนในช่วงชั้นที่ 3 ประชากรที่ใช้ในการทดลองชุดฝึกครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2553 ในโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิ เขต 2
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบวัดความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชุดฝึกเพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และแบบวัดเจตคติต่อคณิตศาสตร์ ชุดฝึกมี 3 เล่ม ระดับชั้นละ 1 เล่ม แต่ละเล่มมี 60 ชุด แต่ละชุดประกอบด้วย โจทย์คิดเลขเร็ว 6 ข้อ โจทย์ปัญหา 2 ข้อ และโจทย์เชาวน์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์ 1 – 2 ข้อ ใช้สำหรับฝึกวันละ 1 ชุด ชุดละ 5 – 10 นาที ฝึกนาน 60 วัน
วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยคะแนนที่ได้จากการทำชุดฝึก 60 ชุด คิดเป็นร้อยละของคะแนนเต็มทดสอบวัดความรู้พื้นฐานก่อนและหลังได้รับการฝึกและเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยค่าสถิติที หาค่าเฉลี่ยของคะแนนจากการวัดเจตคติหลังได้รับการฝึก การทดสอบประสิทธิภาพของชุดฝึกใช้เกณฑ์ 75/75 ซึ่งหมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนนจากการทำชุดฝึกได้ร้อยละ 75 ขึ้นไป และค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบวัดความรู้พื้นฐานหลังได้รับการฝึกได้ร้อยละ 75 ขึ้นไป
ผลการวิจัยพบว่า การทดสอบประสิทธิภาพของชุดฝึก มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ผลการทดสอบความรู้พื้นฐานพบว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์หลังใช้ชุดฝึกสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวัดเจตคติต่อคณิตศาสตร์หลังได้รับการฝึก พบว่า นักเรียนมีเจตคติระดับดี ร้อยละ 60 มีเจตคติค่อนข้างดี ร้อยละ 25 และมีเจตคติระดับปานกลาง ร้อยละ 15
จากรายงานผลการสอบวัดความรู้ขั้นพื้นฐานของนักเรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์ ประจำปี 2552 ระดับประเทศได้คะแนนเฉลี่ย 36.08 (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2552) และในปี 2553 ได้คะแนนเฉลี่ย 28.42 (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2553) ซึ่งถือว่าระดับคุณภาพของผู้เรียนอยู่ในระดับที่ควรปรับปรุง ซึ่งผลการศึกษาของสมวงษ์ แปลงประสพโชค สมเดช บุญประจักษ์ และจรรยาภูอุดม (2549: 76-86) ที่ศึกษาสาเหตุที่เด็กไทยอ่อนคณิตศาสตร์ ศึกษาคุณลักษณะของครูคณิตศาสตร์ที่นักเรียนต้องการ และ ศึกษาแนวทางพัฒนานักเรียนให้เก่งคณิตศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2546-2547 โดยทำการ สำรวจความคิดเห็นของครู 474 คน และนักเรียน 971 คน จากโรงเรียนนำร่องการใช้หลักสูตรใหม่ จำนวน 169 โรงเรียน เกี่ยวกับสาเหตุที่เด็กไทยอ่อนคณิตศาสตร์และแนวทางแก้ไข จัดสัมมนาครูหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ร่วมกับนักการศึกษาคณิตศาสตร์จำนวน 118 คน ในหัวข้อเรื่อง “ ทำอย่างไรให้เด็กไทยเก่งคณิตศาสตร์” สัมภาษณ์นักการศึกษาคณิตศาสตร์ 12 ท่านจาก 6 มหาวิทยาลัยในภูมิภาคเกี่ยวกับปัญหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์และแนวทางแก้ไข และสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนที่เข้าสอบแข่งขันชิงแชมป์การคิดและแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ครั้งที่ 6 / 2546 จำนวน 1,811 คน เกี่ยวกับแนวทางที่จะทำให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์ โดยสรุปพบว่าสาเหตุนักเรียนไทยอ่อนคณิตศาสตร์มีหลายปัจจัย เช่น เกี่ยวกับคุณลักษณะของนักเรียน ครูเห็นว่าสาเหตุที่นักเรียนอ่อนคณิตศาสตร์เพราะนักเรียนไม่ชอบคิด ไม่ชอบแก้ปัญหา ขาดการฝึกฝนและทบทวนด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับคุณลักษณะของครูนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเห็นว่า ครูสอนไม่ดี อธิบายไม่รู้เรื่อง ครูดุ เจ้าอารมณ์ ครูไม่เข้มงวดในการทำการบ้าน ครูสอนจริงจังบรรยากาศเครียดขาดอารมณ์ขัน ครูไม่อดทนที่จะอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ ครูไม่ใช้สื่อการสอนเพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจ ครูให้นักเรียนอ่านเองสรุปเองแล้วมาสอบ วิธีสอนของครูไม่น่าสนใจ ครูมีความรู้ไม่ดี ขาดความมั่นใจตนเอง ครูไม่จบสาขาวิชาคณิตศาสตร์โดยตรง ครูไม่เปิดใจกว้างให้นักเรียนตอบอย่างอิสระ ครูขาดแรงจูงใจ ครูสอนโดยไม่เน้นการคิดและแก้ปัญหา ไม่เน้นการนำไปใช้ในชีวิตจริง ครูมีภาระงานที่รับผิดชอบในโรงเรียนมากไป
ส่วนปัญหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ครูที่เข้าร่วมสัมมนาเห็นว่ามีปัญหาหลายประเด็น เช่น ปัญหาสื่อการสอน ปัญหานักเรียนไม่ชอบการคิดคำนวณ ปัญหานักเรียนขาดการฝึกฝนและทบทวนด้วยตนเอง ปัญหานักเรียนไม่ชอบคิดและแก้ปัญหา ปัญหานักเรียนไม่สามารถประยุกต์ความรู้ไปใช้กับชีวิตจริง ปัญหานักเรียนมีพื้นฐานคณิตศาสตร์ไม่ดี ปัญหาความถนัดและสติปัญญาของนักเรียนแตกต่างกัน และปัญหาเกี่ยวกับการสอนของครู ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าความรู้พื้นฐานก่อนเรียนวิชาคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนที่ขาดความรู้ที่สำคัญอันเป็นพื้นฐานในการเรียนเนื้อหาต่อไปแล้วจะทำให้การเรียนในครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยเกี่ยวกับความคิดเห็นของครูผู้สอนคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่พบว่าสาเหตุของปัญหาด้านเนื้อหาเนื่องมาจากนักเรียนมีปัญหาความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์
สำหรับประเด็นจะทำอย่างไรให้นักเรียนเก่งคณิตศาสตร์ นักเรียนระดับประถมศึกษาที่เข้าสอบแข่งขันชิงแชมป์การคิดและแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เห็นว่า แนวทางที่จะทำให้นักเรียนเก่งคณิตศาสตร์นั้น นักเรียนต้องสนใจเรียน เรียนด้วยความเข้าใจ เห็นคุณค่าของวิชาคณิตศาสตร์ ชอบคำนวณ ชอบคิด ชอบแก้ปัญหา สามารถประยุกต์ความรู้ไปใช้แก้ปัญหา ฝึกฝนและทบทวนด้วยตนเองสม่ำเสมอ มีพื้นฐานความรู้คณิตศาสตร์ดี กล้าซักถาม กล้าแสดงออก
จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นผู้วิจัยเห็นว่า ปัจจัยหนึ่งที่สามารถพัฒนาได้และเป็นปัจจัยที่สำคัญเบื้องต้นในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ก็คือ ปัจจัยเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของนักเรียน ถ้าหากนักเรียนมีพื้นฐานไม่เพียงพอจะทำให้เรียนรู้เนื้อหาต่อไปได้ลำบาก ในการเตรียมพื้นฐานสำหรับการวิจัยนี้ จะพิจารณาใน 2 ส่วน ส่วนแรกคือการสร้างสื่อสำหรับการพัฒนาความรู้พื้นฐานซึ่งเป็นสื่อการสอนช่วยครู ที่ครูจะนำมาใช้ฝึกให้นักเรียนจำนวนมากที่อยู่ในระดับปานกลางและในระดับที่ต้องปรับปรุงได้มีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่เพียงพอต่อการเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น ส่วนที่สองคือวิธีการใช้สื่อ ชุดฝึกที่สร้างขึ้นนี้จะเป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้คิดได้แก้ปัญหา ได้ปฏิบัติ และได้ตรวจสอบด้วยตนเอง โดยให้ฝึกทีละน้อย สม่ำเสมอและต่อเนื่อง จากการฝึกนี้จะทำให้เกิดการทักษะและการจำระยะยาว โดยเนื้อหาที่นำมาฝึกฝนเป็น ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็นที่เน้นการคิดและแก้ปัญหาสำหรับนักเรียนในช่วงชั้นที่ 3 ประกอบด้วยความสามารถในการคิดคำนวณ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา และการแก้ปัญหาที่ใช้เชาวน์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. สร้างและพัฒนาชุดฝึกพัฒนาความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนในช่วงชั้นที่ 3
2. เพื่อศึกษาผลของการใช้ชุดฝึกและเจตคติต่อคณิตศาสตร์หลังการใช้ชุดฝึก
วิธีดำเนินการวิจัย
1. สัมมนาปัญหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในช่วงชั้นที่ 3
2. สร้างชุดฝึก และสร้างข้อสอบวัดความรู้พื้นฐาน และเครื่องมือวัดเจตคติ
3. ทดลองเครื่องมือและปรับปรุงเครื่องมือ ได้เครื่องมือดังนี้
3.1 ชุดฝึกเพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์มี 3 เล่ม แต่ละเล่มมี 60 ชุด แต่ละชุดประกอบด้วยโจทย์การคิดเลขเร็ว 6 ข้อ โจทย์ปัญหา 2 ข้อ และโจทย์ปัญหาที่ใช้เชาวน์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์ 1-2 ข้อ
3.2 แบบทดสอบวัดความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ วัดความสามารถในการบวก การลบ การคูณ และการหารจำนวน การแก้โจทย์ปัญหา และการแก้โจทย์ปัญหาที่ใช้เชาวน์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์
3.3 แบบวัดเจตคติต่อคณิตศาสตร์ วัดความรู้สึกของนักเรียนโดยมีข้อคำถามเกี่ยวกับประโยชน์ พฤติกรรมการเรียน และความรู้สึกต่อคณิตศาสตร์
4. หาประสิทธิภาพของชุดฝึก
ขั้นที่ 1 อบรมครูเกี่ยวการใช้ชุดฝึก
ขั้นที่ 2 ทดลองใช้ชุดฝึกตามขั้นตอนดังนี้
1) ทดสอบความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก่อนการทดลอง
2) ทดลองใช้ชุดฝึกวันละ 5-10 นาที ทุกวัน วันละ 1 ชุดรวม 60 ชุด
3) ทดสอบหลังการทดลองด้วยข้อสอบชุดเดิม และสอบวัดเจตคติ
ประชากรเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จากโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิ เขต 2
ขั้นที่ 3 ประชุมวิเคราะห์ผลการทดสอบก่อนทดลองและหลังทดลอง
นำผลมาหาค่าเฉลี่ยของคะแนนในการทำชุดฝึก 60 ชุด และคะแนนสอบวัดความรู้พื้นฐานหลังการทำชุดฝึก โดยใช้เกณฑ์ 75/75 มีความหมายดังนี้ 75 แรกหมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของการทำชุดฝึกจำนวน 60 ชุด 75 ตัวหลังหมายถึงร้อยละของค่าเฉลี่ยของ คะแนนสอบวัดความรู้พื้นฐานหลังการทำชุดฝึกครบทุกชุด
ขั้นที่ 4 สัมมนาผลการทดลอง สรุปผลการวิจัยและเขียนรายงาน
ผลการวิจัย
1. ผลการทดสอบประสิทธิภาพของชุดฝึก พบว่า ผ่านเกณฑ์ทุกระดับชั้น
2. ผลการทดสอบความรู้พื้นฐานพบว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์หลังใช้ชุดฝึกสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05
3. ผลการวัดเจตคติ พบว่านักเรียนมีเจตคติระดับดี ร้อยละ 60 มีเจตคติค่อนข้างดี ร้อยละ 25 และมีเจตคติระดับปานกลาง ร้อยละ 15
อภิปรายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
1. เกี่ยวกับประสิทธิภาพของชุดฝึกพบว่า นักเรียนบางคนมีผลการวัดความรู้พื้นฐานมีค่าเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ 75 จากการสัมภาษณ์ครูผู้ทดลองพบว่านักเรียนอ่อนในด้านโจทย์ปัญหามาก ไม่ชอบอ่านโจทย์ที่เป็นข้อความ มักตอบโดยไม่คิดนอกจากนี้พบว่าโดยปกตินักเรียนไม่ชอบโจทย์ปัญหา ไม่ชอบคิด เวลาทำโจทย์ปัญหาในการเรียนปกติจะรอลอกเฉลยจากครูซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ที่เห็นว่าการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต้องใช้เชาวน์ปัญญาหลายๆ ด้านผสมผสานกัน
2. เกี่ยวกับพัฒนาการของความรู้พื้นฐานพบว่านักเรียนทุกกลุ่มมีพัฒนาการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้เนื่องมาจากการฝึกฝนบ่อยๆ อย่างส่ำเสมอสอดคล้องกับกฎการฝึกหัดของธอร์นได ที่มีใจความว่าการกระทำใดที่มีการฝึกหัดหรือกระทำบ่อยๆ จะทำให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร นอกจากนี้ในการทำชุดฝึกครูจะให้ตรวจเฉลยทันทีเป็นการเสริมแรงด้วยการรู้ผลทันที อีกทั้งชุดฝึกได้ออกแบบไว้ให้มีความยากง่ายและมีปริมาณในระดับพอดี นักเรียนสามารถทำได้ถูกต้องโดยเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม จูงใจให้นักเรียนอยากจะทำครั้งต่อไปเป็นการท้าทาย ซึ่งสอดคล้องกับกฎแห่งการใกล้จะบรรลุเป้าหมายของฮัลล์ที่มีใจความว่าเมื่อผู้เรียนยิ่งใกล้จะบรรลุเป้าหมายเท่าใดจะมีการตอบสนองมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ชุดฝึกได้ออกแบบไว้ให้รู้ผลทันทีซึ่งเป็นการเสริมแรงแบบหนึ่งที่สอดคล้องกับทฤษฎีการวางเงื่อนไขของ สกินเนอร์เกียวกับการได้รับเสริมแรงจะช่วยให้เกิดแนวโน้มของความถี่ในการกระทำนั้นอีก
3. ด้านเจตคติพบว่านักเรียนชอบทำ เพราะชุดฝึกได้ปรับปรุงปริมาณข้อให้พอดีกับเวลา 5 – 10 นาที ไม่มากเกินไป รูปเล่มขนาดเล็ก ครูรายงานว่ามีนักเรียนเก่งบางคน ขอทำมากกว่า 1 ชุด บางคนคิดมาล่วงหน้า จึงสอดคล้องกับทฤษฎีแห่งผลของธอร์นไดที่มีใจความว่าเมื่อบุคคลใดได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป
ข้อเสนอแนะ
1. การนำผลวิจัยไปใช้ สำหรับนักเรียนเก่งที่ทำเสร็จเร็วอาจให้ทำมากกว่า 1 ชุด ฝึก ควรฝึกทุกวัน วันละ 5 – 10 นาทีอย่างสม่ำเสมอ และควรมีการเสริมแรงหลากหลายรูปแบบ
2.การวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษาติดตามผลนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีการใช้ชุดฝึกอุ่นเครื่องอย่างต่อเนื่อง 3 ปีจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และศึกษาการแก้ปัญหานักเรียนบางคน ที่ไม่ชอบทำโจทย์ปัญหา และที่มีเชาวน์ปัญญาต่ำ
เอกสารอ้างอิง
ทิศนา แขมมณี. (2545) ศาสตร์การสอน. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไพบูลย์ เทวรักษ์. (2540). จิตวิทยาการเรียนรู้ .กรุงเทพฯ: เอส.ดี.เพรส.
ยุพิน พิพิธกุล .(2536).การเรียนการสอนคณิตศาสตร์. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (Online). Available URL: http://www.niets.or.th/
สมวงษ์ แปลงประสพโชค สมเดช บุญประจักษ์ และ จรรยา ภูอุดม.(2549).นวตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนไทย : การศึกษาสาเหตุนักเรียนไทยอ่อนคณิตศาสตร์และแนวทางแก้ไข.มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร.
สมวงษ์ แปลงประสพโชคและคณะ การสร้างชุดฝึกเพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–6
สุนีย์ คล้ายนิลและพิศาล สร้อยธุหร่ำ. (2546). “ คณิตศาสตร์ไทยไม่เข้มแข็งเพราะอะไร. ” สยามรัฐ
17-20 มิถุนายน .